คำสอนปากเปล่าเรื่องมหามุทรา ซึ่งท่านศรีติโลปะมอบให้แก่ท่าน นาโรปะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
ขอคารวะต่อสหัชปัญญา
มหามุทรานั้นไม่อาจไขแสดงได้
ทว่าสำหรับเจ้าผู้อุทิศตนแล้วต่อคุรุ เจ้าผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งพรตจรรยา
และได้แบกรับซึ่งผู้ทุกข์ทรมาน นาโรปะผู้ทรงปัญญา
จงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ ศิษย์ผู้มีชะตากรรมอันเป็นกุศล
ขอจงสดับ
มองดูที่สภาวธรรมของโลก
ความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝัน
แม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง
ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละ
และปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลก
จงปล่อยวางบริวารและญาติมิตร
อันเป็นเหตุแห่งความปรารถนา และความขุ่นข้อง
บำเพ็ญสมาธิเพียงลำพังในราวป่า ในวิเวกสถาน ในที่อันสงัด
ดำรงตนอยู่ในอสมาธิภาวะ
หากเจ้าเข้าถึงการไม่บรรลุถึง เจ้าจะได้ประสบพบมหามุทรา
สภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสาร
ก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้อง
สรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรัง
ด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่า
สภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของอจิตได้
สภาวธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ในอกรรมได้
หากเจ้าต้องการบรรลุถึงอจิตและอกรรม
เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิต
และปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือย
จะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่าง
ไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิด
แต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาล
หากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักใส
เจ้าจะหลุดพ้นในห้วงมหามุทรา
เมื่อพฤกษาผลิใบและกิ่งก้าน
หากเจ้าบั่นรากมันเสีย ใบและกิ่งก้านย่อมร่วงโรยลง
เช่นเดียวกัน หากเจ้าตัดรากถอนโคนของจิต
ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายย่อมเสื่อมทรามลง
ความมืดมนที่ถูกสั่งสมมานานนับกัปกัลป์
จะถูกขับไล่ไปด้วยดวงประทีปเพียงหนึ่ง
เช่นเดียวกัน การได้ประจักษ์ถึงจิตอันสว่างไสวในพริบตา
จะละลายม่านหมอกมลทินแห่งกรรม
มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาซึ่งอาจเข้าถึงสิ่งนี้
จงเพ่งการกำหนดรู้ จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจของเจ้า
โดยอาศัยการเพ่งกสิณ และฝึกฝนฌานวิถี
จงขัดเกลาจิตใจของเจ้าจนมันสงบ ผ่อนพักตามธรรมชาติ
หากเจ้าได้รับรู้ที่ว่างอันเวิ้งว้างและความว่าง
ความคิดอันยึดติดอยู่กับศูนย์กลางและขอบเขตจักมลายไป
เช่นเดียวกัน หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้
ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง
เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง
และจะรับรู้ได้ถึง “โพธิจิต”
หมอกไอที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นเมฆ
และหายลับไปในผืนฟ้า
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพยับเมฆนั้นหายไปในที่แห่งใดเมื่อมันสลายตัวลง
เช่นเดียวกัน คลื่นแห่งความคิดคำนึงที่อุบัติขึ้นจากจิต
ย่อมสูญมลายไปเมื่อจิตรับรู้ได้ถึงจิต
ที่ว่างนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง
ไม่อาจเปลี่ยนแปร ไม่อาจแต่งแต้มด้วยสีดำหรือสีขาว
เช่นเดียวกัน จิตอันสว่างไสวนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง
ไม่อาจแปดเปื้อนด้วยสีขาวหรือดำ กุศลหรืออกุศล
แก่นแท้อันบริสุทธิ์และสว่างไสวของดวงอาทิตย์
ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยความมืดมิด
ที่ถูกสั่งสมมานานนับพันกัลป์
เช่นเดียวกัน ความสว่างไสวอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิต
ย่อมไม่สามารถทำให้มัวหมองได้ด้วยวัฏสงสารอันยาวนานไม่สิ้นสุด
แม้จะกล่าวว่าอากาศธาตุนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า
และไม่อาจให้คำจำกัดความได้
เช่นเดียวกัน แม้เราจะกล่าวว่าจิตนั้นสว่างไสว
แต่การให้นิยามนั้นหาได้พิสูจน์ไม่ว่ามันมีอยู่จริง
ที่ว่างนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยปราศจากตำแหน่งแห่งหน
เช่นเดียวกันที่จิตแห่งมหามุทรานั้นหาได้ดำรงอยู่แห่งหนใดไม่
โดยปราศจากการแปรเปลี่ยน ดำรงตนอยู่ในสภาวะแรกเริ่ม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บ่วงร้อยรัดของเจ้าจะคลายลง
แก่นของจิตนั้นคล้ายดังความว่าง
ด้วยเหตุนี้ จึงหาสิ่งใดอยู่นอกปริมณฑลของมันไม่
ปล่อยให้การเคลื่อนไหวของกายเป็นไปอย่างแท้จริง
ยุติความช่างจำนรรจา
ปล่อยให้ถ้อยวาจาของเจ้าเป็นดุจดังเสียงอุโฆษ
ไร้จิต ทว่าประจักษ์เห็นในศาสนธรรมอันสูงส่ง
กายนั้นเปรียบได้ดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่
จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่าง
ไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัย
จงผ่อนคลายจิตของเจ้า ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่
เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย นี่เองคือมหามุทรา
การบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุด
ธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์
เจ้าจะพบมรรคาของพระพุทธองค์
เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนา
โดยการภาวนาในอภาวนา เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธิ
นี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ – ที่ไปพ้นการยึดติดและครอบครอง
นี่คือราชันย์แห่งสัมมาสมาธิ – ที่ปราศจากจิตใจอันสับสนฟุ้งซ่าน
นี่คือราชันย์แห่งสัมมากัมมันตะ – ที่ปราศจากความพยายาม
เมื่อไร้สิ้นซึ่งความกลัวและความหวัง เจ้าย่อมบรรลุถึงวิโมกษ์
ธรรมธาตุนั้นปราศจากอนุสัยและสิ่งมัวหมอง
จงพักผ่อนจิตในสภาวะแรกเริ่ม
อันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสมาธิภาวะและหลังจากนั้น
เมื่อความรู้สึกนึกคิดได้ทำให้ธรรมแห่งดวงจิตอ่อนล้า
เราได้บรรลุถึงราชันย์แห่งญาณทัสนะ
เป็นอิสระจากขอบเขตทั้งมวล
การไร้ขอบเขตและความลึกซึงนั้น
เป็นองค์จักรพรรดิแห่งสัมมาสมาธิ
การตั้งมั่นในตนอย่างไร้แรงพยายามนั้น
เป็นองค์จักรพรรดิแห่งกรรม
การดำรงตนอย่างไร้ความมุ่งหวังนั้น
เป็นองค์จักรพรรดิแห่งมรรคผล
ในยามเริ่มต้นนั้นจิตคล้ายดั่งแม่น้ำคลั่ง
ในยามกลางคล้ายตัวแม่น้ำคงคาที่ไหลเรื่อย
ในยามปลายกลับราบเรียบเป็นหนึ่ง
คล้ายดังการสวมกอดระหว่างมารดากับบุตร
ผู้เลื่อมใสในตันตระ ในปรัชญาปารมิตา
ในพระวินัย พระสูตร และในศาสนมรรคทั้งหลาย
สิ่งต่างๆเหล่านี้ โดยการเชื่อถือแต่ในตัวคัมภีร์และหลักปรัชญา
ย่อมไม่อาจหยั่งเห็นถึงมหามุทราอันสว่างไสวได้
ไร้จิต ไร้ความปรารถนา
สงบรำงับ ดำรงอยู่ด้วยตนเอง
เปรียบประดุจกระแสน้ำ
ความสว่างไสวนั้นจะถูกบดบังได้ก็ด้วยการอุบัติขึ้นของตัณหา
สมยาธิษฐานอันแท้จริงย่อมสิ้นสุดลงหากยึดมั่นในศีล
หากเจ้าทั้งมิได้ดำรงอยู่ รับรู้
หรือถอยห่างออกจากความจริงอันสูงสุด
เมื่อนั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนที่แท้
เป็นดวงประทีปที่ขับไล่ความมืดมน
หากเจ้าปราศจากความปรารถนา
หากเจ้าไม่ดำรงตนอยู่ในความสุดขั้วใดๆ
เจ้าจะแลเห็นสภาวธรรมจากคำสอนทั้งมวล
หากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้
เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้
หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้
เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไป
ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง
“ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน”
แม้กระทั่งชนผู้ขลาดเขลา
ที่ไม่ได้อุทิศตนให้กับหลักธรรมคำสอนนี้
ก็อาจได้รับการช่วยเหลือจากเจ้ามิให้จมดิ่งลงในสังสารวัฏ
น่าเศร้ายิ่งที่สรรพสัตว์จะต้องทนทุกขเวทนาอยู่ในภูมิอันต่ำช้า
ผู้ที่ต้องการปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์
จะต้องแสวงหาคุรุผู้ทรงคุณ
ด้วยแรงอธิษฐาน จิตของผู้นั้นจะได้รับการปลดปล่อย
หากเจ้าแสวงหากรรมมุทรา เมื่อนั้นปรีชาญาณแห่ง
การผสานรวมของปีติและสุญญาตาจะอุบัติขึ้น
การผสานรวมกันระหว่างอุบายและวิชชาจะนำมาซึ่งอานิสงส์
จงชักนำมันลงมาเพื่อก่อเกิดมณฑล
ให้สถิตอยู่ ณ จักรและแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
เมื่อปราศจากความปรารถนามาข้องเกี่ยว
การผสานรวมกันของปีติและสุญญาตาจะอุบัติขึ้น
ถึงซึ่งความเป็นผู้มีอายุยืนยาว ปราศจากผมหงอกขาว
เจ้าจะเต็มเปี่ยมดั่งดวงจันทร์
ทรงประภารัศมี อีกทั้งพละก็หาใดเปรียบมิได้
เจ้าจะบรรลุถึงสิทธิอำนาจโดยพลัน
และจะโคจรไปสู่ความเป็นมหาสิทธา
ขอให้คำสอนแห่งมหามุทรานี้
คงอยู่ในใจของสรรพสัตว์ผู้เปี่ยมโชค
หนังสือ ตำนานแห่งเสรีภาพและหนทางแห่งการภาวนา
(The Myth of Freedom and the Way of Meditation)
โดย เชอเกียม ตรุงปะ