Destinations

 

Destinations
 
ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง
 

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  (Princess Maha Chakri Sirindhorn)

 
 
Posted in Uncategorized | Leave a comment

Life of Marie Curie

 

Nothing in life is to be feared. It is only to be understood.
 
ขอเพียงมีความเข้าใจ ชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดต้องเกรงกลัว
 
 

Marie Curie (Radiation scientist)
Posted in Uncategorized | Leave a comment

Never give up

Never give up

 

No matter what is going on

Never give up

Develop the heart

Too much energy in your country

Is spent developing the mind

Instead of the heart

Develop the heart

Be compassionate

Not just to your friends

But to everyone

Be compassionate

Work for peace and I say again

Never give up

No matter what is happening

No matter what going on around you

Never give up

 

H.H. the 14th Dalai Lama

 

จงอย่าสิ้นหวัง

 

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

จงอย่าสิ้นหวัง

ขอให้เราเพิ่มพูนกำลังใจอันกล้าแกร่ง

แห่งการรักชาติและแผ่นดิน

ขอให้เราเป็นกัลยามิตรกับทุกคน

ไม่เฉพาะแค่พวกพ้องเท่านั้น

ขอให้เรามุ่งมั่นทำงาน

เพื่อสันติภาพอันนิรันดร์

ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า

จงอย่าสิ้นหวัง

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

ไม่ว่าอะไรจะอุบัติขึ้นรอบตัวเราตาม

จงอย่าสิ้นหวัง

 องค์ทะไล ลามะ ที่ ๑๔

จากหนังสือ ทะไล ลามะ :ผู้นำที่ไม่เคยสิ้นหวัง ผู้แต่ง/แปล : พระมหารุ่งเพชร ติกฺขวชิโร

Posted in Books | Leave a comment

The present

"don’t recall." let go of what has passed.
"
don’t imagine." let go of what may come.

"don’t think." let go of what is happening now.
"
don’t examine." don’t try to figure anything out.

"don’t control." don’t try to make anything happen.
"
relax, right now, and rest."

 

Tilopa 

Posted in Uncategorized | Leave a comment

มหามุทราอุปเทศ

คำสอนปากเปล่าเรื่องมหามุทรา ซึ่งท่านศรีติโลปะมอบให้แก่ท่าน นาโรปะ ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา

 

ขอคารวะต่อสหัชปัญญา

 

มหามุทรานั้นไม่อาจไขแสดงได้

ทว่าสำหรับเจ้าผู้อุทิศตนแล้วต่อคุรุ เจ้าผู้ซึ่งทรงไว้ซึ่งพรตจรรยา

และได้แบกรับซึ่งผู้ทุกข์ทรมาน นาโรปะผู้ทรงปัญญา

จงจดจำคำสอนนี้ไว้ในใจ ศิษย์ผู้มีชะตากรรมอันเป็นกุศล

 

ขอจงสดับ

 

มองดูที่สภาวธรรมของโลก

ความไม่เที่ยงแท้นั้นคล้ายดังภาพมายาหรือความฝัน

แม้แต่ภาพมายาหรือความฝันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง

ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงมุ่งสู่การสละละ

และปล่อยวางซึ่งสิ่งร้อยรัดทางโลก

 

จงปล่อยวางบริวารและญาติมิตร

อันเป็นเหตุแห่งความปรารถนา และความขุ่นข้อง

บำเพ็ญสมาธิเพียงลำพังในราวป่า ในวิเวกสถาน ในที่อันสงัด

ดำรงตนอยู่ในอสมาธิภาวะ

หากเจ้าเข้าถึงการไม่บรรลุถึง เจ้าจะได้ประสบพบมหามุทรา

 

สภาวธรรมแห่งวัฏสงสารนั้นไร้แก่นสาร

ก่อให้เกิดความปรารถนาและความขุ่นข้อง

สรรพสิ่งที่เราปั้นแต่งล้วนปราศจากความจีรัง

ด้วยเหตุนี้ จึงควรแสวงหาสัจธรรมอันล้ำค่า

สภาวธรรมของจิตนั้นไม่อาจเห็นค่าความหมายของอจิตได้

สภาวธรรมแห่งกรรมย่อมไม่อาจประจักษ์ในอกรรมได้

 

หากเจ้าต้องการบรรลุถึงอจิตและอกรรม

เจ้าย่อมตัดขาดรากเหง้าแห่งจิต

และปล่อยให้ดวงวิญญาณดำรงอยู่อย่างเปล่าเปลือย

จะปล่อยให้น้ำอันขุ่นข้นแห่งเจตสิกใสกระจ่าง

ไม่จำเป็นต้องระงับยับยั้งความรู้สึกนึกคิด

แต่ปล่อยให้มันสงบลงตามกาล

หากไร้ซึ่งการดึงดูดหรือผลักใส

เจ้าจะหลุดพ้นในห้วงมหามุทรา

 

เมื่อพฤกษาผลิใบและกิ่งก้าน

หากเจ้าบั่นรากมันเสีย ใบและกิ่งก้านย่อมร่วงโรยลง

เช่นเดียวกัน หากเจ้าตัดรากถอนโคนของจิต

ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายย่อมเสื่อมทรามลง

 

ความมืดมนที่ถูกสั่งสมมานานนับกัปกัลป์

จะถูกขับไล่ไปด้วยดวงประทีปเพียงหนึ่ง

เช่นเดียวกัน การได้ประจักษ์ถึงจิตอันสว่างไสวในพริบตา

จะละลายม่านหมอกมลทินแห่งกรรม

มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาซึ่งอาจเข้าถึงสิ่งนี้

จงเพ่งการกำหนดรู้ จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจของเจ้า

โดยอาศัยการเพ่งกสิณ และฝึกฝนฌานวิถี

จงขัดเกลาจิตใจของเจ้าจนมันสงบ ผ่อนพักตามธรรมชาติ

 

หากเจ้าได้รับรู้ที่ว่างอันเวิ้งว้างและความว่าง

ความคิดอันยึดติดอยู่กับศูนย์กลางและขอบเขตจักมลายไป

เช่นเดียวกัน หากจิตสามารถรับรู้ถึงตัวจิตได้

ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจะยุติลง

เจ้าจะดำรงอยู่ในสภาวะที่ปราศจากความคิดคำนึง

และจะรับรู้ได้ถึง โพธิจิต

 

หมอกไอที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นเมฆ

และหายลับไปในผืนฟ้า

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพยับเมฆนั้นหายไปในที่แห่งใดเมื่อมันสลายตัวลง

เช่นเดียวกัน คลื่นแห่งความคิดคำนึงที่อุบัติขึ้นจากจิต

ย่อมสูญมลายไปเมื่อจิตรับรู้ได้ถึงจิต

 

ที่ว่างนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง

ไม่อาจเปลี่ยนแปร ไม่อาจแต่งแต้มด้วยสีดำหรือสีขาว

เช่นเดียวกัน จิตอันสว่างไสวนั้นไม่มีสีสันหรือรูปทรง

ไม่อาจแปดเปื้อนด้วยสีขาวหรือดำ กุศลหรืออกุศล

 

แก่นแท้อันบริสุทธิ์และสว่างไสวของดวงอาทิตย์

ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยความมืดมิด

ที่ถูกสั่งสมมานานนับพันกัลป์

เช่นเดียวกัน ความสว่างไสวอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิต

ย่อมไม่สามารถทำให้มัวหมองได้ด้วยวัฏสงสารอันยาวนานไม่สิ้นสุด

 

แม้จะกล่าวว่าอากาศธาตุนั้นเวิ้งว้างว่างเปล่า

และไม่อาจให้คำจำกัดความได้

เช่นเดียวกัน แม้เราจะกล่าวว่าจิตนั้นสว่างไสว

แต่การให้นิยามนั้นหาได้พิสูจน์ไม่ว่ามันมีอยู่จริง                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                         

ที่ว่างนั้นสมบูรณ์พร้อมโดยปราศจากตำแหน่งแห่งหน

เช่นเดียวกันที่จิตแห่งมหามุทรานั้นหาได้ดำรงอยู่แห่งหนใดไม่

 

โดยปราศจากการแปรเปลี่ยน ดำรงตนอยู่ในสภาวะแรกเริ่ม

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บ่วงร้อยรัดของเจ้าจะคลายลง

แก่นของจิตนั้นคล้ายดังความว่าง

ด้วยเหตุนี้ จึงหาสิ่งใดอยู่นอกปริมณฑลของมันไม่

ปล่อยให้การเคลื่อนไหวของกายเป็นไปอย่างแท้จริง

ยุติความช่างจำนรรจา

ปล่อยให้ถ้อยวาจาของเจ้าเป็นดุจดังเสียงอุโฆษ

ไร้จิต ทว่าประจักษ์เห็นในศาสนธรรมอันสูงส่ง

 

กายนั้นเปรียบได้ดังปล้องไผ่ ที่หามีแก่นในไม่

จิตนั้นเป็นเนื้อแท้แห่งความว่าง

ไม่มีแง่มุมใดให้ความคิดได้พักอาศัย

จงผ่อนคลายจิตของเจ้า ไม่กักขังหรือปล่อยให้ร่อนเร่

เมื่อจิตไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย นี่เองคือมหามุทรา

การบรรลุถึงสิ่งนี้คือการตรัสรู้อันสูงสุด

 

ธรรมชาติจิตนั้นสว่างไสว ปราศจากซึ่งธรรมารมณ์

เจ้าจะพบมรรคาของพระพุทธองค์

เมื่อปราศจากหนทางแห่งสมาธิภาวนา

โดยการภาวนาในอภาวนา เจ้าจะบรรลุถึงมหาโพธิ

นี่คือราชันย์แห่งสัมมาทิฏฐิ ที่ไปพ้นการยึดติดและครอบครอง

นี่คือราชันย์แห่งสัมมาสมาธิ – ที่ปราศจากจิตใจอันสับสนฟุ้งซ่าน

นี่คือราชันย์แห่งสัมมากัมมันตะ – ที่ปราศจากความพยายาม

เมื่อไร้สิ้นซึ่งความกลัวและความหวัง เจ้าย่อมบรรลุถึงวิโมกษ์

 

ธรรมธาตุนั้นปราศจากอนุสัยและสิ่งมัวหมอง

จงพักผ่อนจิตในสภาวะแรกเริ่ม

อันไม่มีการแบ่งแยกระหว่างสมาธิภาวะและหลังจากนั้น

เมื่อความรู้สึกนึกคิดได้ทำให้ธรรมแห่งดวงจิตอ่อนล้า

เราได้บรรลุถึงราชันย์แห่งญาณทัสนะ

เป็นอิสระจากขอบเขตทั้งมวล

 

การไร้ขอบเขตและความลึกซึงนั้น

เป็นองค์จักรพรรดิแห่งสัมมาสมาธิ

การตั้งมั่นในตนอย่างไร้แรงพยายามนั้น

เป็นองค์จักรพรรดิแห่งกรรม

การดำรงตนอย่างไร้ความมุ่งหวังนั้น

เป็นองค์จักรพรรดิแห่งมรรคผล

 

ในยามเริ่มต้นนั้นจิตคล้ายดั่งแม่น้ำคลั่ง

ในยามกลางคล้ายตัวแม่น้ำคงคาที่ไหลเรื่อย

ในยามปลายกลับราบเรียบเป็นหนึ่ง

คล้ายดังการสวมกอดระหว่างมารดากับบุตร

 

ผู้เลื่อมใสในตันตระ ในปรัชญาปารมิตา

ในพระวินัย พระสูตร และในศาสนมรรคทั้งหลาย

สิ่งต่างๆเหล่านี้ โดยการเชื่อถือแต่ในตัวคัมภีร์และหลักปรัชญา

ย่อมไม่อาจหยั่งเห็นถึงมหามุทราอันสว่างไสวได้

ไร้จิต ไร้ความปรารถนา

สงบรำงับ ดำรงอยู่ด้วยตนเอง

เปรียบประดุจกระแสน้ำ

ความสว่างไสวนั้นจะถูกบดบังได้ก็ด้วยการอุบัติขึ้นของตัณหา

 

สมยาธิษฐานอันแท้จริงย่อมสิ้นสุดลงหากยึดมั่นในศีล

หากเจ้าทั้งมิได้ดำรงอยู่ รับรู้

หรือถอยห่างออกจากความจริงอันสูงสุด

เมื่อนั้น เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกฝนที่แท้

เป็นดวงประทีปที่ขับไล่ความมืดมน

หากเจ้าปราศจากความปรารถนา

หากเจ้าไม่ดำรงตนอยู่ในความสุดขั้วใดๆ

เจ้าจะแลเห็นสภาวธรรมจากคำสอนทั้งมวล

 

หากเจ้าแน่วแน่อยู่ในความเพียรนี้

เจ้าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้

หากเจ้าตั้งมั่นดังนี้

เจ้าจะแผดเผาม่านหมอกแห่งอกุศลกรรมให้สลายไป

ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงได้รับฉายาว่าเป็นดัง

ประทีปสว่างไสวแห่งพระคำสอน

 

แม้กระทั่งชนผู้ขลาดเขลา

ที่ไม่ได้อุทิศตนให้กับหลักธรรมคำสอนนี้

ก็อาจได้รับการช่วยเหลือจากเจ้ามิให้จมดิ่งลงในสังสารวัฏ

น่าเศร้ายิ่งที่สรรพสัตว์จะต้องทนทุกขเวทนาอยู่ในภูมิอันต่ำช้า

ผู้ที่ต้องการปลดปล่อยตนเองจากความทุกข์

จะต้องแสวงหาคุรุผู้ทรงคุณ

ด้วยแรงอธิษฐาน จิตของผู้นั้นจะได้รับการปลดปล่อย

 

หากเจ้าแสวงหากรรมมุทรา เมื่อนั้นปรีชาญาณแห่ง

การผสานรวมของปีติและสุญญาตาจะอุบัติขึ้น

การผสานรวมกันระหว่างอุบายและวิชชาจะนำมาซึ่งอานิสงส์

จงชักนำมันลงมาเพื่อก่อเกิดมณฑล

ให้สถิตอยู่ ณ จักรและแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

 

เมื่อปราศจากความปรารถนามาข้องเกี่ยว

การผสานรวมกันของปีติและสุญญาตาจะอุบัติขึ้น

ถึงซึ่งความเป็นผู้มีอายุยืนยาว ปราศจากผมหงอกขาว

เจ้าจะเต็มเปี่ยมดั่งดวงจันทร์

ทรงประภารัศมี อีกทั้งพละก็หาใดเปรียบมิได้

เจ้าจะบรรลุถึงสิทธิอำนาจโดยพลัน

และจะโคจรไปสู่ความเป็นมหาสิทธา

ขอให้คำสอนแห่งมหามุทรานี้

คงอยู่ในใจของสรรพสัตว์ผู้เปี่ยมโชค

 

 

หนังสือ ตำนานแห่งเสรีภาพและหนทางแห่งการภาวนา

(The Myth of Freedom and the Way of Meditation)

โดย เชอเกียม ตรุงปะ

 

Posted in Books | Leave a comment

Sound and Noise

Sound and Noise by Shunryu Suzuki Roshi (Zen Master)

  

 PS. Blusejay is a passerine bird, and native to North America.

Posted in Uncategorized | Leave a comment

คืนความเรียบง่ายให้ชีวิต (Return to Simplicity life)

นับตั้งแต่ได้ก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย ออกมาเผชิญกับชีวิตแห่งการทำงาน การตามหาเป้าหมายของชีวิตและอนาคต  สิ่งเหล่านี้ได้กดดัน บีบคั้น และกระตุ้น ให้เราวิ่งเข้าไปสู่ความคาดหวัง จากตนเอง พ่อแม่ ครอบครัว เพื่อน คนรัก สังคมและประเทศชาติ  แต่ละคนได้สร้างความคาดหวังในหลายรูปแบบ เช่น อยากมีเงินทอง เงินเดือนสูงๆ  มีชีวิตที่สุขสบาย มีอนาคตที่ดี ตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนร่วมงานที่ดี ฯ  หลายคนได้นำความคาดหวัง เหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดัน เพื่อดิ้นรนให้ตัวเองก้าวไปตามความคาดหวังที่สร้างขึ้น

 

                ความคาดหวัง ไม่ได้ทำให้เราก้าวสู่ความเครียดหรือความทุกข์แม้แต่น้อย  ความยึดติด กับความคาดหวังต่างหากที่ให้เรากระหาย และตะเกียดตะกายมุ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ถึงเป้าหมาย จนลืมและละทิ้งชีวิตอันเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นเครือข่ายโยงใยกันในสังคม ชีวิตอันอุดมไปด้วยพลังและความมีชีวิตชีวา

 

                การละทิ้งเป้าหมายแห่งชีวิต เสมือนเป็นการลดความยึดติด เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของชีวิต ซึ่งจะทำให้พลังแห่งชีวิตไหลเวียนได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย  หลายคนอาจมองว่า จะทำให้คนเฉื่อยชาลง เกียจคร้าน ไม่สู้งาน ไร้ซึ่งความอดทน ชีวิตเลื่อนลอยไร้หลักแหล่งสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการคิดไปเอง ของบุคคล ซึ่งอาจใช้ตรรกะ ประสบการณ์เพียงบางส่วน หรือความน่าจะเป็น  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่การวิภาควิจารณ์ คนอื่นเพียงแค่ผิวนอกเท่านั้น

 

                การละทิ้งเป้าหมายแห่งชีวิต เพื่อกลับมาสู่พื้นฐานแห่งชีวิต หรือความเรียบง่ายแห่งชีวิตนั้น  คือการนำจิตกลับมาสู่การงานพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการ กวาดบ้านซักผ้า ทำกับข้าว ทำความสะอาบ้าน จัดการเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นเป็นการนำให้จิตกับมาอยู่กับตัว อันจะนำจิตเข้าสู่ความเรียบง่ายแห่งการลดละ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเริ่มต้นก้าวสู่ความเรียบง่ายอันไร้ขอบเขต เช่น การปิดทีวี วิทยุ  ปลดเครื่องประดับ ลดละสิ่งของที่นอกเหนือจากพื้นฐานของชีวิต ลดละการสะสมสิ่งต่างๆเพื่อจะยกตนในการแข่งขันกับผู้อื่น   การลดละนั้นจะทำให้จิตใจกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น อันเป็นบ่อเกิดแห่งพลังชีวิต และเมื่อพลังนั้นได้เอ่อล้นท่วมจิตวิญญาณ ก็จะทำให้เกิดการแบ่งปัน และการตระหนักถึงเครือข่ายใยแห่งชีวิตระหว่างเรากับผู้อื่นและสิ่งรอบๆตัวอันเป็นการบรรสานทุกชีวิตไว้ด้วยกัน แบ่งปันทั้งทุกข์และสุขร่วมกัน ได้เข้าถึงการมีคุณค่าของการมีอยู่ของสิ่งทั้งหลาย ทำให้อนาคตกลับกลายจากความคาดหวัง  ความยึดถือมุ่งสู่ความมุ่งมั่น ความทุ่มเทอย่างไร้ความคาดหวัง ไร้ซึ่งความยึดถือแห่งตัวตน และได้ไว้วางใจในอนาคตกับการก้าวเดินทุกก้าว  ทำงานเพื่องาน ไม่ใช่ทำงานเพื่อแลกกับเงิน(ซึ่งคงไม่ต่างกับโสเภณีมากนัก) ซึ่งจะทำให้เรายอมรับอนาคตอย่างไร้ความคาดหวัง(ไร้ตัวตน) และตามความเป็นจริงมากขึ้น  ท้ายที่สุดจะทำให้ใจเราเปิดออกและยอมรับเหตุการณ์ต่างๆ และผู้คนที่เป็นศัตรูมากขึ้นเพื่อเป็นบ่อเกิดแห่งมิตรภาพอันละมุนละไม

 

                ชีวิตอันเรียบง่ายจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ความแจ่มใส การแบ่งปัน ความอบอุ่นและรอยยิ้ม แม้ในตอนเริ่มต้นจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดร้าวราน ไม่มีความเชื่อมั่นอย่างที่สุด  แต่สิ่งเหล่านั้นจะนำพา จิตใจ กลับมาสู่บ้านเดิมของมัน อันเป็นสิ่งที่มนุษย์โหยหากันมากที่สุดในศตวรรษนี้ และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในใจมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

 

 

 

Posted in My Mind | Leave a comment

Playing For Change: Song Around the World — Stand By Me

 

Oh yeah
Oh my darlin’
Stand by me

No matter who you are
No matter where you go in life
You gonna need somebody to stand by you

No matter how much money you’ve got, all the friends you got,
you gonna need somebody to stand by you

When the night has come
And the land is dark
And that moon is the only light we’ll see

No, I won’t be afraid.
No, I won’t shed a tear
Just as long as you stand, stand by me

And darlin’, darlin’, stand by me. Oh stand by me
Oh stand, stand by me, common stand by me, yeah.

When the sky that we look upon should tumble and fall
Or the mountain they should crumble to the sea.

I won’t cry, I won’t cry.
No, I won’t shed a tear.
Just as long as you stand, stand by me.

So darlin’, darlin’, stand by me. Oh stand by me.
Please stand, stand by me, stand by me.

And darlin’, darlin’, stand by me. Oh stand by me.
Oh stand, stand by me, please stand. Stand by me.

 

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร
ไม่ว่าตลอดชีวิตคุณจะเดินทางไปแห่งหนใด
บางเรื่องบางครา คุณอาจต้องการใครบางคนยืนเคียงข้างคุณ


ไม่ว่าเธอจะมีเงินมากน้อยเพียงไหน เธอยังมีเพื่อนเสมอ
บางที คุณยังต้องการใครอีกคนยืนเคียงข้างคุณ


เมื่อราตรีมาเยือน
พร้อมปฏพีที่มืดมิด
มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่างให้มองเห็น


ไม่ฉันไม่กลัวหรอก
ไม่ ฉันไม่กลัว
ตราบเท่าที่มีคุณเยือนเคียงข้าง เคียงข้างฉัน


โอ้ ที่รัก เคียงข้าง ยืนเคียงข้างฉัน
เคียงข้างเคียงข้างฉัน มาสิ มายืนเคียงข้างฉัน


เมื่อเราเห็นท้องฟ้าเบื้องหน้าพังร่วงหล่น
หรือภูผาถล่มจมลงท้องทะเล


ฉันจะไม่ร้องไห้ ฉันไม่ร้องไห้หรอก
ฉันจะไม่ปาดน้ำตา
ตราบเท่าที่มีคุณยืนเคียงข้าง เคียงข้างฉัน


โอ้ ที่รัก เคียงข้าง ยืนเคียงข้างฉัน
ยืน.. เคียงข้างฉันนะ ช่วยมายืนเคียงข้างฉัน  ได้โปรดเคียงข้าง ยืนเคียงข้างฉัน


โอ้ ที่รัก เคียงข้าง ยืนเคียงข้างฉัน
ได้โปรดเคียงข้าง ยืนเคียงข้างฉัน
 

Posted in Music | Leave a comment

หันหน้าเข้าหากัน : Turning to One Another

จากจิตคิดแย้งในความต่าง

 

เราจะเลือกสิ่งใด?

จะปล่อยปละตนให้ร่วงหล่น

สู่ห้วงหุบอันมืดมนอลหม่านแห่งจักรวาลหรือไร?

สู่โลกซึ่งไร้ความหวัง แหว่งวิ่น

ไร้ซึ่งที่พักพิง ไร้ซึ่งแสงสว่าง

ไร้ซึ่งโอกาสคิดแย้งแสดงความต่าง

โลกซึ่งบ่มเพาะนักสังหารหมู่

ผีดิบสูบพลังงาน ฆาตกรต่อเนื่อง

ที่จิตใจตรอกตรึงอยู่กับความง่อยเปลี้ยของสังคมและความไร้ศีลธรรม

ที่การเข่นฆ่า ข่มขืน ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ เป็นสิ่งสามัญหรือไร?

หรือจะปล่อยปละตนให้ละล่องลอย

เคลื่อนคล้อยสู่ยุคสมัยแห่งความเหมือนทบเท่าทวี

ยุคสมัยซึ่งแห้งแล้งไร้ความหมาย ไร้ความละอาย

ไร้ความอัศจรรย์ใจ ไร้ความรื่นเร้าฤทัย

มีเพียงความบันเทิงต่ำช้าดารดาษ

ยุคสมัยอันน่าหน่ายคาดการณ์ได้ทุกสิ่ง

ถึงความ จืดชืด เก่าเก็บ น่าเบื่อ และไร้ประโยชน์

 

ซึ่งเราลอยละล่องไป

ลอยละล่องเรื่อยไป

หน่ายเหลือแสน เฉื่อยชาเหลือจะห่วงใย

ว่าความจริงอันผิดเพี้ยน

โผล่หัวเข้ามาในวันและคืนของเรา

กว่าจะตื่นลืมตาก็เนิ่นช้ากระทั่งถึงกาลอวสานแห่งสิทธิ์อันชอบของตน

เนิ่นช้ากว่าจะลงมือกระทำสิ่งใด

เนิ่นช้าเกินกว่าจะคิดครวญใคร่

ว่าเราปล่อยปละให้สิ่งใด

ครอบงำชีวิตลิขิตทาง

คราลอยล่องเรื่อยเปื่อยไปในห้วงเวหา

ไม่นำพาต่อพายุฝนและแสงแห่งดวงตะวันหรือไร?

หรือเราจะเลือกจะลุกขึ้น

ณ บัดนี้ ปั่นปลุกให้ตื่นลืมตา

คืนพลังฤทธาแก่โลก?

ตั้งสัตย์ปฏิญาณตน จะตระหนักรู้

แจ่มใส อดทน เที่ยงธรรม

รู้รับผิดชอบ ปราดเปรียว รักใคร่ให้มากกว่าที่เคย

ตื่นรู้สู่พลังที่ซุกซ่อน ให้อัศจรรย์ใจกว่าที่เป็นมา

 

เราเป็นผู้เลือก จะมีชีวิตรุ่งเรืองหรือร่วงลู่สู่ที่ต่ำ

เราเป็นผู้เลือก เส้นทางที่จะย่างย่ำ

สิ่งที่เราทำ ทางที่เราเลือกล้วนขึ้นอยู่กับ

ทัศนะแห่งเรา ทัศนะที่เราเบือนบิด

ทัศนะที่เราเลือกคิดนำมาใช้

หรือที่เราเลือกจะละทิ้ง

ขึ้นอยู่กับความลวงที่เราฝากฝังชีวิต

และดับสูญสิ้นชีพไปกับมัน

 

                                    เบน โอครี, ไนจีเรีย

 

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

 

แต่ในเวลาที่เราต่างต้องการกันและกันมากที่สุด เรากลับหลงลืมว่าตนเองคือใคร และทำให้สิ่งต่างๆย่ำแย่ลงด้วยการปฏิบัติต่อผู้อื่นในรูปแบบที่รังแต่จะดึงเอาด้านมืดของตนเองออกมา เราฟูมฟักพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านี้ด้วยการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร้มนุษยธรรม ราวกับพวกเขามิใช่มนุษย์ เราสูญเสียองค์ประกอบสำคัญของการเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น จิตวิญญาณ จิตนาการ หรือความต้องการที่จะมีความหมายและมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น เราโยนสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปราวกับมันไม่มีความสำคัญ เราพบว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นหากปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเสมือนเครื่องจักร หรืออะไหล่ที่เปลี่ยนใหม่ได้ในกระบวนการผลิตเชิงเศรษฐศาสตร์ เราสร้างระบบการทำงานและสังคมขึ้นจากแรงบันดาลใจในเชิงลบ ไม่ว่าจะเป็นความโลภโมโทสัน ความเห็นแก่ตัว และการแข่งขัน

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

 

เราได้อะไรจากการทักทายกันและกันในฐานะของผู้ที่มีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิ? นี่เป็นคำถามสำคัญเพราะว่าเรากำลังพยายามดิ้นรนผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากในปัจจุบัน เราต้องการกันและกันมากกว่าครั้งไหนในอดีต เราต้องการความคิดสร้างสรรค์ ความห่วงใย และหัวใจที่เปิดกว้างของทุกผู้คนเพื่อหาทางออกให้กับพวกเราทั้งหมด เราอาจช่วยเหลือกันและกันด้วยการเชื่อว่าผู้อื่นก็มีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มภาคภูมิเช่นเดียวกับเรา และเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถเชื้อเชิญพวกเขาให้ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมด้วยความดีงาม

            อนาคตเปี่ยมหวังอาจกลายเป็นจริงได้ แต่เราไม่อาจไปถึงได้โดยลำพัง เราไม่อาจไปถึงได้โดยปราศจากกันและกัน และไม่อาจสร้างอนาคตโดยมิต้องพึ่งพาพื้นฐานและความดีงานอันทรงคุณค่าของมนุษย์

 

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

 

            บ่อยครั้งที่ฉันหนีไปให้พ้นจากความเศร้าโศกของผู้อื่น ฉันเห็นว่าหลายๆ คนก็มีพฤติกรรมเช่นเดียวกันนี้ เราไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขสถานการณ์หรือทำอย่างไรให้พ้นความเจ็บปวดนั้นจางหายไป เราไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ เราจึงหนีไปอยู่อีกฟากหนึ่ง ปิดโทรทัศน์ เบือนสายตาหนีไปจากภาพนั้น หยุดพูดคุยกับเพื่อนที่กำลังเศร้าโศกของเรา ฉันไม่เห็นว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยอะไรใครได้ แม้กระทั่งตัวเราเอง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดหูปิดตาที่จะรับรู้โลก เรารับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าอดีตที่ผ่านมา และไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ ตราบใดที่เราพยายามอย่างหนักหน่วงที่จะผลักผู้คนเหล่านั้นออกจากใจ ตราบนั้นเราก็ไม่อาจปิดการรับรู้ถึงความทุกข์ยากของพวกเขาลงได้อย่างแท้จริง โลกยังคงเล็ดลอดเข้ามากัดกินเราอยู่ภายใน

    สิ่งที่น่าหัวเราะคือเราอยากจะยื่นมือออกไปช่วยเหลือ แต่รู้สึกไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ เราจึงดึงเอาสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้กลับคืนมา นั่นคือมิตรภาพของเรา หากคุณเคยรู้สึกเศร้าใจ คุณจะรู้ได้ว่าการมีเพื่อนนั่งอยู่เคียงข้าง โดยไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไรแม้เพียงคำพูดเดียว โดยไม่คาดหวังว่าจะต้องทำสิ่งใดเลยนั้น มันช่วยเยียวยาจิตใจได้อย่างไร คุณไม่ต้องการให้เขาทำอะไรให้เลยสักอย่างเดียว เพียงอยู่ด้วยกันตรงนั้นเป็นพยานต่อการสูญเสียและความโทมนัสของคุณ

            หากโลกหมุนไปอย่างราบรื่น หากชีวิตดำเนินไปง่ายดายกว่านี้ มันคงไม่สำคัญหนักหนาว่าเราหันหน้าไปทางใด แต่พวกเราส่วนใหญ่รู้สึกว่าโลกใบนี้กำลังล่มสลาย ทั้งไม่คิดว่ามันจะดีขึ้นในเร็ววัน เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของผู้คนมากมาย เราต้องการวิธีที่ดีกว่าเดิมในการรับมือกับความเลวร้ายอันแสนทุกข์ยากนี้

            เราสามารถจะเบือนหน้าหนี หรือหันหน้าเข้าหาผู้อื่น นี่เป็นเพียงทางเลือกสองทางที่เรามีอยู่

 

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

 

 

 

หนังสือ หันหน้าเข้าหากัน (Turning to One Another) โดย มาร์กาเร็ต เจ. วีตเลย์

Posted in Books | Leave a comment

ครึ่งชีวิตของความอบอุ่น (Lovely Half life)

 

 

การเปลี่ยนผ่านของชีวิตคนเราทุกคน ต้องผ่านประสบการณ์อันเป็นแรงกระตุ้นให้จิตวิญญาณของเราตื่นขึ้น เพื่อมองดูและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น อาจเจ็บปวดสุดแสนจะบรรยาย หรือ สุขล้นใจ 

 

การเปลี่ยนผ่านของชีวิตผมเกิดขึ้น เมื่อผมต้องสูญเสีย แม่ ผู้เป็นดั่งลมหายใจของผม ชีวิตของผมต้องพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กที่วันๆเอาแต่ทะเลาะกับพี่น้อง นั่งเล่นเกมส์ วิ่งเล่นกับเพื่อนข้างบ้าน ไม่อ่านหนังสือเรียน หลังจากสูญเสีย แม่ ทุกอย่างเปลี่ยนไปทั้งหมด พี่และน้องต่างๆก็ห่วงใยกันมากขึ้น ทะเลาะกันน้อยลง เลิกเล่นเกมส์ ช่วยทำงานบ้านมากขึ้น ขยันเรียนมากขึ้น ทั้งพี่และน้องของผมก็เกิดการเปลี่ยนผ่านในช่วงนี้เหมือนกัน

 

ชีวิตนี้ที่ แม่ ได้เป็นผู้ให้ เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ต่างๆขึ้นมาให้แก่ผม มันเป็นดั่งของขวัญอันล้ำค่า เป็นความทรงจำอันแสนอบอุ่น เป็นสัมผัสอันอ่อนโยน ยากนักที่จะมีใคร หรือสิ่งใดมาทดแทนได้  สิ่งที่ แม่ ได้ถ่ายทอดมานั้น คือ พื้นฐานของการดำรงชีวิต การทำอาหาร การให้ การแบ่งปัน การประหยัด ความอดทน ความเสียสละ ความมีจิตวิญญาณในการทำงานต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจิตใจ และร่างกายทั้งหมดของแม่ ที่ยังคงมีอยู่ในร่างกายและจิตใจของผม

 

ร่างกายและจิตใจ ครั้งหนึ่งที่ผมได้ลืมเลือนสิ่งล้ำค่าที่ แม่ได้มอบให้ เฝ้าแต่ตามหาความรักความอบอุ่นใจจากภายนอก จากผู้อื่น แต่ไม่สิ่งใดอบอุ่น และสบายใจ เท่ากับสิ่งที่ แม่ มอบให้ ซึ่งอยู่ภายในใจ ในความทรงจำ และในร่างกายนี้อีกแล้ว  สิ่งที่ผมต้องทำก็ คือ การถ่ายทอดจิตวิญญาณที่ แม่ ได้มอบไว้ให้ ส่งผ่านสิ่งนั้นไปยังผู้คนรอบข้างด้วย ความรัก ความอบอุ่นใจ ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และเดินเคียงข้างกันไป

 

ขอบคุณมากครับ แม่

ครบรอบ 17 ปี ของการจากไป ของแม่

            22 เมษายน 2552

 

 

Posted in My Mind | Leave a comment